หมอเจด แนะนำถ้าไม่อยากเป็น มะเร็งปอด ให้ทำ 5 อย่างนี้ พร้อมเผยอาการเบื้องต้น ถ้าเป็นต้องรีบตรวจ

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
วันที่ 4 มิถุนายน 2568 นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา โพสต์ให้ความรู้ด้านสุขภาพผ่านเพจเฟซบุ๊ก หมอเจด ในหัวข้อ ไม่อยากเป็นมะเร็งปอด ทำ 5 อย่างนี้
โดยระบุว่า มะเร็งปอด เป็นหนึ่งในโรคที่แอบร้ายที่สุด เพราะกว่าจะรู้ตัวว่าเป็น ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในระยะท้าย ๆ แล้ว ซึ่งตอนนั้นมันก็รักษายากมากขึ้นไปอีก ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นคนอายุน้อยเป็นกันมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนไม่เคยสูบบุหรี่ด้วยซ้ำ ตรวจสุขภาพทุกปีก็แล้ว แต่สุดท้ายก็มาเจอตอนที่เริ่มมีอาการไปแล้ว
เลยอยากชวนคุยวันนี้ว่า ถ้าเราอยากลดความเสี่ยงมะเร็งปอด ต้องทำยังไงบ้าง บอกเลยว่าไม่ยาก และทำได้จริงทุกข้อ
1. เลิกบุหรี่ หรือถ้ายังไม่เคยเริ่ม ก็อย่าเริ่มเลย
ข้อนี้ไม่ต้องพูดเยอะ เพราะทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่า “บุหรี่” คือสาเหตุอันดับ 1 ของมะเร็งปอด
ในควันบุหรี่มีสารพิษสารก่อมะเร็งกว่า 70 ชนิด ชื่ออาจจะไม่คุ้นหู แต่ร้ายมาก เช่น Benzopyrene, Nitrosamines, Formaldehyde, สารหนู ฯลฯ พวกนี้มันเข้าไปทำลาย DNA ในเซลล์ปอด ทำให้กลายพันธุ์ แล้วก็กลายเป็นมะเร็งในที่สุด
ที่สำคัญคือ ไม่ใช่แค่คนสูบเท่านั้นที่เสี่ยง คนรอบข้างที่ต้องสูด “ควันบุหรี่มือสอง” ก็โดนไปเต็ม ๆ เหมือนกัน
สรุปคือ ถ้าอยากลดความเสี่ยง
– หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีคนสูบบุหรี่
– ถ้าคนใกล้ตัวสูบ ลองคุยกับเขาดี ๆ ด้วยความห่วงใย ไม่ใช่การต่อว่า
2. อยู่ให้ห่างจาก ฝุ่นจิ๋ว PM2.5
ไม่ต้องสูบบุหรี่ก็เป็นมะเร็งปอดได้ นึ่งในสาเหตุที่หลายคนเจอทุกวันก็คือ ฝุ่น PM2.5 เจ้าฝุ่นจิ๋วนี้มันเล็กมาก ขนาดเล็กกว่าเส้นผมประมาณ 20-30 เท่า และมันเล็กพอที่จะทะลุลึกเข้าไปถึงถุงลมในปอดได้เลย พอเข้าไปแล้ว มันไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบแบบเรื้อรังในปอด
ถ้าเจอบ่อย ๆ ปอดก็จะค่อย ๆ เสื่อม แล้วมีโอกาสที่เซลล์จะกลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้
ทำยังไงดีในวันที่อากาศไม่ดี ?
– ก่อนออกจากบ้าน ลองเช็กค่าฝุ่นผ่านแอปฯ อย่าง AirVisual หรือ AQI Thailand
– ถ้าฝุ่นขึ้นสูง อยู่ในบ้านจะปลอดภัยกว่า
– ถ้าจำเป็นต้องออกไปข้างนอก ใช้หน้ากาก N95 หรือ KF94
– มีเครื่องฟอกอากาศไว้ใช้ในห้องนอนยิ่งดี
3. ระวังควันจากการทำอาหาร โดยเฉพาะในพื้นที่ปิด
หลายคนมองข้ามเรื่องนี้ การผัด ๆ ทอด ๆ ในครัวบ้านเรา ก็มีผลกับมะเร็งปอดได้เหมือนกัน
จริง ๆ แล้วควันจากการทำอาหาร โดยเฉพาะพวกทอดด้วยน้ำมันมาก ๆ
หรือใช้อุณหภูมิสูงจัด ๆ เช่น การผัดกระทะเหล็ก ไฟแรง ๆ จะทำให้เกิดสาร
VOCs (สารอินทรีย์ระเหยง่าย) และ PAHs
(สารไฮโดรคาร์บอนจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์) สารเหล่านี้ก็เป็น สารก่อมะเร็ง
ที่สามารถสะสมในร่างกายได้เหมือนกัน
แนะนำว่า
– ถ้าทำอาหารที่บ้าน ควรเปิดเครื่องดูดควันทุกครั้ง
– หรือเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท
– ลดการใช้น้ำมันมาก ๆ หันมานึ่ง ต้ม อบ แทน
– เลี่ยงการทอดน้ำมันซ้ำหลายรอบ
4. ตรวจคัดกรองถ้ามีประวัติครอบครัว หรือความเสี่ยง
มะเร็งปอดในระยะแรกมักไม่มีอาการอะไรเลย
คนไข้ที่เจอมักจะรู้เมื่อมีอาการ เช่น ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด หายใจหอบ
เจ็บหน้าอก ซึ่งบางทีก็ช้าเกินไปแล้ว
การตรวจคัดกรอง จึงเป็นทางเลือกสำคัญที่อาจช่วยให้เจอโรคไวขึ้น โดยเฉพาะในคนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น
– สูบบุหรี่จัดมานาน
– เคยทำงานในโรงงานที่มีแร่ใยหิน (asbestos)
– มีคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งปอด
– คนที่เจอมลพิษทางอากาศทุกวัน จากทั้งการจราจรและโรงงานอุตสาหกรรม
– อายุมากกว่า 50 ปี และมีโรคประจำตัวบางอย่าง
ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ใช้ได้ผลดี คือ Low-dose CT scan
เป็นการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ให้ภาพละเอียด โดยใช้รังสีในระดับต่ำ
ทำให้ปลอดภัยกว่าการสแกนแบบทั่วไป
ใครที่เข้ามีความเสี่ยง ควรปรึกษาหมอและไปตรวจ อย่ารอให้มีอาการแล้วค่อยมาตรวจ
5. บำรุงปอดให้แข็งแรงอยู่เสมอ
ดูแลร่างกายแบบง่าย ๆ ได้เลย
– ออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3–5 วัน จะเดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ก็ได้หมด
– กินอาหารดี ๆ โดยเฉพาะผักผลไม้หลากสี จะได้สารต้านอนุมูลอิสระไปช่วยป้องกันเซลล์กลายพันธุ์
– นอนให้พอ อย่านอนดึกเรื้อรัง
– ลดหวาน แอลกอฮอล์ และของทอดให้น้อยที่สุด
ยิ่งเราดูแลปอดให้แข็งแรง ภูมิคุ้มกันดี ก็จะลดความเสี่ยงได้
เช็กอาการเบื้องต้นของ มะเร็งปอด
ไม่อยากเป็นมะเร็งปอด ต้องเริ่มจากดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้
ไม่ใช่แค่เรื่องของบุหรี่ แต่ยังมีปัจจัยแฝงอีกหลายอย่างที่เราควรระวัง
เข้าใจว่ามะเร็งปอดเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับหลายคน
แต่ขอย้ำอีกครั้งว่า ไม่ใช่เฉพาะคนที่สูบบุหรี่เท่านั้นที่จะเป็นได้
ถ้ามีอาการแบบนี้ ต้องรีบไปตรวจ
– ไอเรื้อรังเกิน 2-3 สัปดาห์
– ไอเป็นเลือด
– หายใจลำบาก
– เจ็บหน้าอกไม่ทราบสาเหตุ
– น้ำหนักลดลงผิดปกติ