
.jpg)
ภาพจาก Instagram morchang
ภาพจาก Instagram morchang
เปิดปรากฏการณ์ธรรมชาติสุดแปลกตา ลาวาสีน้ำเงิน เปลวเพลิงสีฟ้าที่ปะทุขึ้นมาจากปล่องภูเขาไฟ เบื้องหลังความงดงาม แท้จริงแฝงด้วยอันตราย
เรามักคุ้นตากับลาวาสีแดงเพลิง ซึ่งเป็นของเหลวที่ถูกพ่นออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟหลังจากเกิดการระเบิด แต่ภูเขาไฟบางพื้นที่ในโลกสามารถเกิดปรากฏการณ์สุดแปลกตาที่เรียกว่า “ลาวาสีน้ำเงิน” โดยจะมองเห็นเป็นเปลวเพลิงสีฟ้าเปล่งประกายในเวลากลางคืน ชวนให้ดูงดงามอย่างน่าพิศวงโดยไม่ได้ต้องใส่ฟิลเตอร์
ภูเขาไฟคาวาห์ อิเจน หรือ คาวาอีเจี้ยน (Kawah Ijen) เป็นภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหมุดหมายของนักท่องเที่ยวผู้รักการผจญภัยทั่วโลกที่จะได้ไปสัมผัสความอัศจรรย์แห่งธรรมชาติ 2 รูปแบบ ได้แก่ ทะเลสาบกำมะถันสีเทอร์ควอยซ์ที่สวยงามแต่แฝงอันตราย เพราะมีความเป็นกรดสูง และปรากฏการณ์ “ลาวาสีน้ำเงิน”
แม้จะเรียกว่าลาวาสีน้ำเงิน แต่แท้จริงแล้วแสงสีฟ้าที่เห็นไม่ใช่ลาวา แต่เป็นแสงจากกำมะถันที่เกิดการเผาไหม้ (Burning Sulfur) หรือเรียกได้ว่า เพลิงกำมะถัน ทำให้มองเห็นเปลวไฟสีฟ้าเรืองแสงพวยพุ่งจากปล่องภูเขาไฟ ซึ่งจะเห็นได้เฉพาะในเวลากลางคืนที่มืดมิด
โดยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์หรือก๊าซกำมะถัน ซึ่งเกิดจากธรรมชาติและการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่มีกำมะถัน หรือซัลเฟอร์ (Sulfur) เป็นส่วนประกอบ จะออกมาจากรอยแตกร้าวของภูเขาไฟ ภายใต้ความกดอากาศและอุณหภูมิสูงถึง 600 องศาเซลเซียส เมื่อก๊าซสัมผัสกับอากาศจะเกิดการลุกไหม้และพุ่งสูงขึ้นไปถึง 5 เมตร
ในขณะที่ก๊าซบางส่วนเกิดการควบแน่น (Condensation) แปรสภาพเป็นกำมะถันเหลว ซึ่งยังคงมีการเผาไหม้ต่อไป จะไหลลงมาตามเนินและแนวลาดชันของภูเขาไฟ ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนลาวาไหลนั่นเอง
ลาวาสีน้ำเงินถือว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาชมได้ยาก
เนื่องจากต้องเป็นภูเขาไฟที่มีปริมาณก๊าซกำมะถันปล่อยออกมาสูงมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณปากปล่องภูเขาไฟที่มีความร้อนสูง
ประกอบกับมีอุณหภูมิที่เหมาะสมที่จะทำให้เกิดการเผาไหม้
โดยเมื่อก๊าซที่เผาไหม้เย็นลงจะปล่อยกำมะถันลงมาโดยรอบ
ซึ่งถือว่าเป็นสภาพแวดล้อมที่อันตรายไม่ควรเข้าใกล้
ขอบคุณข้อมูลจาก National Geographic
แม่ยายบุกห้องลูกเขย จับได้พาผู้หญิงอื่นมานอนทับที่เมียท้อง 5 เดือนตอนออกไปทำงาน หนุ่มอ้างเลิกกับเมียแล้ว
วันที่ 28 เมษายน 2568 เพจเฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว เผยเหตุการณ์โต้เถียงกันระหว่างแม่ยายกับลูกเขย หลังจับได้ว่าลูกเขยพาผู้หญิงอื่นเข้าแอบมากกที่ห้องนอน ของเมียที่กำลังตั้งครรภ์ 5 เดือน ช่วงที่เมียออกไปทำงาน
จากคลิปเผยให้เห็นภาพที่แม่ยายแอบเข้าไปพิสูจน์ที่ห้องลูกเขยตอนกลางคืน ถามว่าพาผู้หญิงเข้ามาใช่ไหม โดยลูกเขยอ้างว่า ตนเองเลิกกับเมียนานแล้ว แม่ยายจึงถามว่าทำไมจึงพาผู้หญิงอื่นมาบ้านตอนที่เมียยังอยู่บ้านเดียวกัน ฝ่ายชายอ้างว่าตอนนี้เมียไม่อยู่บ้าน
ต่อมาแม่ยายพยายามจะเข้าไปในบ้าน แต่ลูกเขยก็ยืนบังประตูไว้ แต่แม่ยายก็ปรี่เข้าบ้านไปแล้วเปิดห้องนอนไปถามผู้หญิงว่า ไม่รู้เหรอว่าเขามีลูกมีเมียแล้ว เอะใจอยู่ว่าทำไมไล่ลูกให้เก็บของจากบ้าน พร้อมกับถามหญิงใหม่ว่า ยังอยากได้เหรอผู้ชายแบบนี้ พร้อมกับถามฝ่ายชายว่า ที่บอกเลิกกับลูกตนไปเพราะมีผู้หญิงอื่นใช่ไหม แล้วนอนกันอยู่เนี่ยกี่รอบแล้ว เห็นนะเพราะว่าสืบรู้ ข้างห้องก็รู้ เมียเพิ่งออกบ้านได้ไม่กี่วัน เอาผู้หญิงมาคืออะไร
ลูกเขยยังอ้างว่า ตนเองเลิกกับเมียนานแล้ว ทำให้แม่ยายถามว่า
เลิกกับนานแล้ว แต่เมียยังอยู่ที่นี่ เพิ่งมาบอกเลิกอะไรตอนไหน
ก็วันนั้นยังเห็นไปสงกรานต์ด้วยกันอยู่เลย
ถ้าเธอไม่มีหัวใจให้คนอื่นเธอไม่เป็นแบบนี้ แต่เธอไม่เคยยอมรับตัวเอง
ถ้าเธอเป็นลูกผู้ชายจริง
แม่ยายถามหญิงที่อยู่ในห้องว่า “ยังจะเอาอยู่ไหม” ฝ่ายหญิงตอบว่า “ไม่แล้ว” และอ้างว่าไม่ได้มีอะไรกัน
เพิ่งมาวันแรกแล้วก็เพิ่งรู้เมื่อกี้ แม่ยายจึงถามว่า
มาวันแรกขึ้นบนที่นอนกันเลยเหรอ พร้อมกับท้าให้ฟ้องได้เลย
ย้ำว่าจะเอาให้อยู่ที่นี่ไม่ได้กันสักคนเลย ถ้าตนเอาจริงขึ้นมา
สาวเตือนภัย เที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว เข้าโรงแรมเจอกลิ่นตุ ๆ นึกว่าคนตาย ก้มลงดูสุดช็อก เจอผู้ชายอยู่ใต้เตียง ซ้ำจับคนร้ายไม่ได้ สายเที่ยวต้องระวัง
เป็นเรื่องเตือนใจนักท่องเที่ยวสายลุยเดี่ยว หลังจากไม่นานมานี้ นักท่องเที่ยวหญิงรายหนึ่งซึ่งไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว กลับต้องเจอประสบการณ์สุดเลวร้าย ที่เปลี่ยนความคิดของเธอเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเคยมองว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูง และตัดสินใจนำเรื่องที่พบเจอมาบอกเล่าเพื่อให้นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ระมัดระวังกันมากขึ้น
วันที่ 27 เมษายน 2568 เว็บไซต์ Mirror Media รายงานว่า เรื่องราวดังกล่าวถูกเปิดเผยโดยผู้ใช้อินสตาแกรม natalisi_taksisi ซึ่งโพสต์ว่า “ฉันเจอผู้ชายแปลกหน้าอยู่ใต้เตียงในห้องพักโรงแรมที่ญี่ปุ่น มันควรจะเป็นทริปเที่ยวคนเดียวที่ปลอดภัย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง”
นักเดินทางสาวเล่าว่า เธอจองทริปไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว เพราะคิดว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ปลอดภัยมาก โดยจองที่พักผ่านเว็บไซต์เอเจนซี่ เลือกพักโรงแรมในเครือดังของญี่ปุ่น ซึ่งทางพนักงานให้คีย์การ์ดเธอไว้สำหรับผ่านเข้าชั้นที่พัก รวมถึงใช้ในการเปิดประตูเข้าห้อง
วันแรกทุกอย่างยังปกติดี แต่วันที่ 2 เธอออกไปเที่ยวแล้วกลับเข้าที่พักประมาณ 19.30 น. เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ถอดเสื้อผ้า นอนบนเตียงตามปกติ แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีกลิ่นแปลก ๆ
ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นกลิ่นจากผมหรือผ้าปูเตียง ก่อนจะรู้ว่ากลิ่นมาจากใต้เตียง ซึ่งเธอยังคิดขำ ๆ อยู่เลยว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนตายอยู่ใต้เตียง”
แต่เมื่อเธอก้มลงไปดูใต้เตียงก็ต้องช็อก เมื่อเห็นตาคู่หนึ่งจ้องมาทางเธอ ปรากฏว่ามีผู้ชายชาวเอเชียซ่อนอยู่ใต้เตียงของเธอ
ตอนนั้นเธอกรีดร้องและกระโดดตัวลอย ขณะที่ผู้ชายคนนั้นก็คลานออกมาจากใต้เตียง แล้วจ้องมาที่เธอนาน 3 วินาที ช่วงเวลานั้นเธอคิดว่าจบเห่แล้ว แต่อีกฝ่ายก็เริ่มส่งเสียงร้องแล้ววิ่งออกจากห้องไป
หลังจากนั้นพนักงานโรงแรมก็มาที่ห้องเธอพร้อมเรียกตำรวจ
พวกเขาพบอุปกรณ์อย่างพาวเวอร์แบงก์และสาย USB อยู่ใต้เตียงของเธอ
แต่เมื่อเธอพยายามถามพนักงานว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง
พนักงานกลับไร้คำตอบ บอกเพียงว่าตำรวจไม่เจอตัวผู้บุกรุก
เพราะพวกเขาไม่มีกล้องติดไว้
นักเดินทางสาวตัดสินใจย้ายโรงแรมทันทีเพราะรู้สึกกลัวและไม่ปลอดภัย
พร้อมกันนั้นเธอยังเรียกร้องให้ทางโรงแรมคืนเงินค่าที่พักเต็มจำนวน
โดยเธอจองห้องไป 3 คืน เป็นเงิน 600 ดอลลาร์สหรัฐ
แต่วันรุ่งขึ้น ทางโรงแรมกลับไม่ติดต่อหรือส่งอีเมลหาเธอ
และเมื่อเธอจี้ถามไปยังเว็บไซต์เอเจนซี่ที่จองโรงแรม
ทางเว็บเสนอที่จะคืนเป็นคูปองให้เธอแค่ 178.55 ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น
เธอรับไม่ได้จึงโทร. ไปหาโรงแรมโดยตรงอีกครั้ง
เพื่อเรียกร้องให้พวกเขาคืนเงินและชี้แจงเรื่องราวทั้งหมด
กระทั่งตกเย็น ทางโรงแรมส่งอีเมลมาแจ้ง แม้ว่าพวกเขาจะยอมคืนเงินให้เธอ
แต่ในส่วนของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น
ทางโรงแรมอ้างว่าไม่มีคลิปบันทึกการเข้า-ออกใด ๆ จึงยากที่จะระบุตัวคนร้าย
และทางตำรวจก็แจ้งว่ายากที่จะทำการสืบสวนต่อ
แม้จะเก็บรอยนิ้วมือไปแล้วก็ไม่สามารถระบุตัวคนร้ายได้
หญิงสาวกล่าวว่า วันต่อไปของการท่องเที่ยวนั้นเหมือนฝันร้าย เธอนอนไม่ได้
ระแวงไปหมด ต้องเช็กดูทุกซอกทุกมุมของห้องพัก (ใหม่)
ทั้งนี้ เธอยังเขียนจดหมายถึงโรงแรมที่เกิดเหตุ
เรียกร้องให้จ่ายชดเชยความเสียหายทางอารมณ์จำนวน 1,600 ดอลลาร์สหรัฐ
แต่ทางโรงแรมปฏิเสธ โดยอ้างว่าไม่มีนโยบายดังกล่าว
สุดท้าย นักเดินทางสาวทิ้งคำถามว่า “ฉันสงสัยว่ามีคนเข้ามาให้ห้องฉันได้ยังไง
มีคนรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ห้องนั้นแค่คนเดียว
และทางโรงแรมไม่สามารถรับผิดชอบการละเมิดความปลอดภัยขั้นร้ายแรงแบบนี้ได้ยังไง” โดยเธอต้องการเรียกร้องให้ทางโรงแรมซึ่งอยู่ในเครือดัง
ดำเนินการอะไรสักอย่าง รวมถึงเตือนเพื่อน ๆ
นักเดินทางให้ระวังตัวกันมากขึ้นด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก Mirror Media
อังเคิลโรเจอร์ คลิปล่าสุด มาเที่ยวไทย ตระเวนเที่ยวกับ มาร์ค วีนส์ ใน 24 ชม. ถึงกับบอกเกือบไม่รอดชีวิต
เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีสำหรับแฟน ๆ ชาวไทย สำหรับ อังเคิลโรเจอร์ (Uncle Roger) ยูทูบเบอร์สายตลกชาวมาเลเซีย ที่โดดเด่นเรื่องการวิจารณ์อาหารในลุคเสื้อสีส้ม โดยคลิปวิดีโอล่าสุดที่โพสต์เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2568 ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เมื่ออังเคิลโรเจอร์ มาเที่ยวประเทศไทย จึงไม่มีคำว่าธรรมดาอย่างแน่นอน
คลิปวิดีโอนี้ใช้ชื่อว่า “อังเคิลโรเจอร์เกือบตาย (24 ชั่วโมงในประเทศไทยกับ มาร์ค วีนส์)” โดยอังเคิลโรเจอร์ได้ถ่ายทำร่วมกับมาร์ค วีนส์ (Mark Wiens) บล็อกเกอร์และยูทูบเบอร์ชาวอเมริกัน ที่ทำเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและอาหาร และยังเป็นเจ้าของร้านอาหารในกรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยเมื่อ 4 ปีก่อนอังเคิลโรเจอร์ เคยทำคลิปวิจารณ์การทำแกงเขียวหวานไก่ของมาร์คจนได้รู้จักกัน
– เริ่มตั้งแต่ 06.30 น.
มาร์คก็พาอังเคิลโรเจอร์ไปกินข้าวแกงเขียวหวานไก่ที่ตลาดคลองเตย
ซึ่งอังเคิลโรเจอร์ตกใจมากที่รู้ว่าคนไทยกินแกงเขียวหวานกันตั้งแต่มื้อเช้า
บอกว่าเผ็ดนิดหน่อยแต่อร่อย ตามด้วยเมนูทอดมันปลา
– หลังกินเสร็จไปยืนโบกมือให้คนบนรถเมล์
อังเคิลโรเจอร์บอกว่ารถเมล์ในไทยเป็นสไตล์ย้อนยุคมาก
จากนั้นมาร์คพาอังเคิลโรเจอร์เดินข้ามถนน
เจ้าตัวตกใจมากบอกว่ามันไม่ปลอดภัย เสนอให้ไปใช้สะพานลอย
แต่สุดท้ายก็ยอมเดินข้ามถนนไปแบบคนไทย โดยบอกว่า “มาร์คจะฆ่าฉัน”
– ไปเจอร้านขนมโรตีสายไหม ไม่วายขอแซวว่าแม่ค้าผู้เชี่ยวชาญ
แม้หูจะแนบโทรศัพท์ แต่มือสามารถทำขนมได้อย่างคล่องแคล่ว
พอได้ลองชิมสักคำก็บอกว่ารสชาติดี
–
เดินสำรวจตลาดคลองเตย เจอสัตว์เป็น ๆ ถามว่าคนไทยซื้อไปทำอะไร
มาร์คบอกว่าซื้อไปปล่อยทำบุญ อังเคิลโรเจอร์งง
ถามว่าแล้วจับมันทำไมตั้งแต่แรก
– พื้นตลาดเปียกกลัวว่าจะลื่นล้มได้ อังเคิลโรเจอร์บอกว่าอันตราย พร้อมเล่นมุกว่า “คนไทยอาจจะเสียชีวิตปีละ 5 คน เพราะพื้นตลาดเปียก”
– มาร์คพาอังเคิลโรเจอร์ไปสั่งส้มตำปลาร้าขอว่า “เอาเผ็ด ๆ” พอรู้ว่าเผ็ด ๆ หมายถึงสไปซี่ อังเคิลโรเจอร์สั่งเพิ่มเองว่า “เผ็ด ๆ บิ๊ก เผ็ด ๆ Many Spicy” พอขอเข้าไปตำเอง เห็นพริกแห้งในครก 20 เม็ดตกใจ จนตักชิมถึงกับเป่าปากร้อง “วู้วว สไปซี่ ! เผ็ดไปสำหรับฉัน ฉันต้องการรถพยาบาล หรือฉันต้องไปเข้าห้องน้ำ” สุดท้ายทนความเผ็ดไม่ไหว ยืนเหงื่อแตกอยู่หน้าร้านส้มตำ
– ไปกินของหวานลอดช่อง (ยังไม่หายเผ็ดจากส้มตำ ยืนเป่าปากไม่หยุด)
เห็นคนไทยดื่มเหล้าร้องคาราโอเกะที่บ้านกันตอน 8 โมงเช้า
เพราะเพิ่งเลิกงานกะกลางคืน อังเคิลโรเจอร์อดไม่ได้ขอเข้าปรบมือให้
– นั่งรถตุ๊ก ๆ ซิ่ง พร้อมดื่มน้ำมะพร้าวสด ๆ จากลูก
อังเคิลโรเจอร์บอกว่ามันดีมาก ต่างจากน้ำมะพร้าวกล่องที่รสชาติแย่มาก
– แน่นอนว่ามาไทย พลาดไม่ได้ที่จะไปนวด แต่พอได้ลงมือเท่านั้น
อังเคิลโรเจอร์ถึงกับหลับตาปี๋ บอกคิดว่ามันจะสนุก ๆ ผ่อนคลาย
แต่ความจริงได้ยินถึงเสียงกระดูก ร้องเสียงดังออกปาก “คุณจะฆ่าฉัน” ส่วนมาร์คยืนให้กำลังใจ (หัวเราะชอบใจ)
– มาต่อที่ร้านเผ็ด มาร์ค ร้านอาหารของมาร์ค ลองเมนูผัดกะเพราเนื้อวากิว
ไข่ดาวฉ่ำ ๆ โดยกินแบบเลเวลเผ็ดมาร์ค พริก 5 เม็ด
อังเคิลโรเจอร์บอกว่าอร่อยมาก และได้ลองกินพริกน้ำปลากับไข่ดาว บอกว่าดีมาก
– ปิดท้ายด้วยไปลองต่อยมวยไทย อังเคิลโรเจอร์ลงนวมกับมาร์ค จนสุดท้ายอังเคิลโรเจอร์ลงไปน็อกเอาต์กับพื้น
เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท สรุปความคืบหน้าแต่ละเฟส ย้ำเฟส 2 จ่ายเงินรอบสุดท้าย 28 เม.ย. 68 เช็กด่วน รับผ่านพร้อมเพย์
เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท สรุปความคืบหน้าแต่ละเฟส ย้ำเฟส 2 จ่ายเงินรอบสุดท้าย 28 เม.ย. 68 เช็กด่วน รับผ่านพร้อมเพย์
ยังคงเกาะติดอย่างต่อเนื่อง สำหรับโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 10,000 บาท ซึ่งดำเนินการจ่ายให้ส่วนของ เฟส 1 และเฟส 2 กันไปแล้ว ขณะที่ประชาชนยังคติดตามข่าวสาร เกี่ยวกับเรื่องการแจกเงินเฟส 3 กลุ่มวัยรุ่น-นักศึกษา ที่กำลังจะมาถึง ตลอดจนเฟสอื่น ๆ หลังจากนี้
สำหรับความคืบหน้า ดิจิทัลวอลเล็ต ในแต่ละเฟส สรุปได้ดังนี้
– จ่ายครบแล้ว รับเป็นเงินสด 10,000 บาทผ่านพร้อมเพย์ ที่ผูกบัตรประชาชน
– จ่ายเงินแล้ว ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับบัตรประชาชน ธนาคารใดก็ได้
– กลุ่มเป้าหมายที่จ่ายเงินให้ไม่สำเร็จ จะมีการดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) รอบที่ 3 เป็นครั้งสุดท้าย ในวันที่ 28 เมษายน 2568 (ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนภายในวันที่ 23 เมษายน 2568)
– กลุ่มตกหล่น ควรตรวจสอบกับธนาคาร ว่าบัญชีพร้อมเพย์ยังมีสถานะปกติ รับเงินโอนได้หรือไม่
– เมื่อพ้นกำหนดการจ่ายเงินซ้ำ ครั้งที่ 3 กระทรวงการคลังจะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการฯ
– กำหนดการจ่ายไม่เกินเดือนมิถุนายน 2568
– รับเป็นเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ใช้จ่ายกับร้านค้าร่วมโครงการ ใช้จ่ายผ่านแอปฯ
– จะเริ่มดำเนินการเมื่อระบบจ่ายเงินมีความเสถียร
– จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2568 สำหรับคนที่ลงทะเบียนไว้ก่อนหน้านี้
1. ประชาชนจะสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กภายในเขต (50 เขต) ในกรุงเทพฯ
หรือภายในอำเภอ (878 อำเภอ) ของจังหวัดเดียวกับที่อยู่ตามทะเบียนบ้านของตน
ทั้งนี้ ตามประเภทร้านค้าที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด
2. ในการใช้จ่ายภายใต้โครงการฯ แต่ละครั้ง ระบบจะตรวจสอบ ดังนี้
– ที่อยู่ (เขตหรืออำเภอ) ของร้านค้าตามที่ลงทะเบียนโครงการฯ
– ที่อยู่ (เขตหรืออำเภอ) ของประชาชนตามทะเบียนบ้าน ณ วันที่ส่งข้อมูลไปตรวจสอบกับกรมการปกครอง
– เขตหรืออำเภอของร้านค้าและประชาชน ต้องตรงกัน
– ประชาชนต้องเปิด Location ในขณะที่ใช้จ่ายกับร้านค้า
เพื่อให้สามารถตรวจสอบพิกัดตำแหน่งขณะใช้จ่าย การชำระเงินจึงจะสมบูรณ์
ขอบคุณข้อมูลจาก ฐานเศรษฐกิจ
ชัชชาติ อัปเดตการรื้อถอนซากตึก สตง. ตอนนี้สูงไม่ถึง 3 เมตร พร้อมพาไปดูชั้นใต้ดิน คาดสาเหตุยังไม่เจอร่างอีก 30 ชีวิต
วันที่ 27 เมษายน 2568 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไลฟ์เฟซบุ๊กอัปเดตการค้นหาผู้สูญหายในซากอาคาร สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ซึ่งขณะนี้ใต้ซากตึกนี้ ยังคงมีผู้ประสบภัยติดอยู่ 30 ราย ขณะที่การขุดค้นหาและรื้อถอนซากอาคารเหลืออีกไม่ถึง 3 เมตร ก็จะถึงพื้นชั้น 1 แต่ก็ยังไม่พบผู้สูญหาย
ซึ่งคำตอบอาจอยู่ซากอาคารที่ยุบพังลงมาสู่ชั้นใต้ดิน ความลึกอีก 4 เมตร และเป็นการยุบรวมตั้งแต่ชั้น 5 ลง มากองรวมที่ชั้นใต้ดิน คนงานอาจวิ่งลงมาจากชั้นบนแล้วหนีไม่ทัน ทำให้ตรงนี้อาจจะเป็นหนึ่งจุดที่จะเจอผู้ที่ติดอยู่ในอาคาร
เพราะฉะนั้นถึงแม้กองด้านนอกจะเป็นศูนย์แล้ว แต่ก็ยังมีอยู่อีกประมาณ 4 เมตรที่อยู่ด้านใต้ที่ต้องรื้อออกไปด้วย หวังว่าจะเป็นจุดที่มีร่างผู้ที่ติดค้างอยู่ข้างในอีกเยอะ เพราะเป็นการยุบรวมของชั้น 5 ลงมา ซึ่งเป็นจุดที่คนกำลังหนีออกมาจากชั้นบน ซึ่งขั้นตอนก็คึบหน้าไปได้ตามแผน เป้าหมายคือสิ้นเดือนคือถึงชั้นกราวน์ก็น่าจะทำได้ แต่ว่าเหลือใต้ดินที่จะเป็นตัวที่ต้องใช้เวลานิดหนึ่ง
พร้อมกันนั้น นายชัชชาติ ยังไลฟ์เผยภาพบริเวณชั้นใต้ดินของอาคารจอดรถ 5 ชั้นที่ไม่ได้พัง ซึ่งอยู่ติดกับอาคารที่พังถล่ม มองไปเห็นสภาพของชั้นใต้ดินตึกที่ถล่ม
ด้าน นายสุริยชัย รวิวรรณ
ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26
เมษายน เจ้าหน้าที่พบผู้ติดค้างในโซน D 1 คน และพบชิ้นส่วน 5 ชิ้น
ทั้งหมดถูกนำส่งพิสูจน์อัตลักษณ์แล้ว
ส่วนงานรื้อถอนขณะนี้ลดระดับความสูงมาอยู่ที่ประมาณ 2.50 เมตร
คาดว่าในวันที่ 28 เมษายน จะสามารถเปิดพื้นที่ลงไปถึงชั้น 1 ได้
ซึ่งจะเพิ่มกำลังเครื่องจักรหัวเจาะเข้าดำเนินการมากขึ้น นอกจากนี้
ได้เพิ่มกำลังคนเข้าสนับสนุนงานตัดเหล็ก
โดยจะดำเนินการรื้อถอนในทุกพื้นที่พร้อมกันเพื่อให้งานขุดเจาะเดินหน้าได้เร็วขึ้น
สำหรับการขนย้ายเศษซากอาคาร สตง. ที่รื้อถอนออกมาไปยังจุดทิ้งซากอาคาร
ได้ดำเนิการขนย้ายไปได้ 343 เที่ยวแล้ว
ขณะเดียวกันพบโพรงที่เชื่อมระหว่างอาคารจอดรถกับตัวอาคารที่พังถล่มลงมา
ไม่ใช่โพรงชั้นใต้ดิน โดยช่วงเช้าได้เข้าสังเกตการณ์ร่วมกับนายชัชชาติ
ซึ่งอาจเป็นจุดที่คาดว่าจะพบผู้ติดค้างเพิ่มเติม
โดยขณะนี้พบผู้เสียชีวิตแล้ว 62 คนและอยู่ระหว่างการติดตามอีก 32 คน
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์, ThaiPBS
กัน จอมพลัง ตอบกลับปมถูกขุดภาพบ้านเก่า 20 กว่าปี เทียบภาพขับแลมโบกินี่ รับเคยอยู่จริง แต่ไม่โทรมขนาดนี้ เสียใจช่วยคนแต่โดนว่า ลั่นไม่ได้อยากเกิดมาจน
เป็นประเด็นที่ชาวเน็ตให้ตามใส่ใจกันในช่วงคืนที่ผ่านมา เมื่อเพจ CSI LA ได้ออกมาเปิดประเด็นเกี่ยวกับ กัน จอมพลัง โดยมีการเปิดภาพบ้านหลังหนึ่งที่ระบุว่าเป็นบ้านเก่าของกัน พร้อมกับข้อความของบุคคลที่อ้างตัวเป็นเพื่อนสมัยประถมของพี่ชายกัน ซึ่งไม่ได้เจอกันนาน แต่มาเห็นอีกทีชีวิตกลับเป็นจากหน้ามือเป็นหลังมือ
โดยระบุว่า “ความหลังของ ‘กัน’ ที่คุ้นเคย จากเพื่อนเก่าคนหนึ่งในบางแก้ว เคยเป็นเพื่อนสมัยประถม อยู่บ้านเก่าใกล้กัน ย่านบางแก้ว ตอนเด็ก ๆ วิ่งเล่นด้วยกันที่บ้าน ‘กร’ พี่ชายแท้ ๆ ของกัน หลังจบประถม ต่างคนต่างแยกย้าย ไม่มีการติดต่อกันอีก
เวลาผ่านไปหลายสิบปี จู่ ๆ เห็นชื่อโผล่ออกทีวีอีกที ปัจจุบันมีรถแลมโบกินี่ขับ ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ”
ภาพจาก CSI LA
ภาพจาก CSI LA
ต่อมา กัน จอมพลัง ก็เข้ามาคอมเมนต์ตอบทางเพจ ระบุว่า “บ้านหลังนี้ผมเคยอยู่จริงครับ จนถึงประมาน ป.5 พ่อเลิกกับแม่ ผมก็มาอยู่กับแม่ ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่โทรมขนาดนี้และไม่ใช่สภาพนี้ครับ เอาตรง ๆ ผมก็เสียใจเหมือนกันนะครับที่ต้องมาโดนคนด่าคนว่า แล้วคนก็เชื่อด้วย
วันนี้การที่ผมออกมาช่วยคนจนทำคนหมั่นไส้ออกมาด่าแบบนี้ บอกตรง ๆ ก็ท้อเหมือนกันครับ แล้วการที่มีเพื่อนพี่น้องเป็นนักการเมือง ผมก็มีทุกพรรค แต่ไม่เคยเอาพลังไปรังแกใครเลย มีแต่เอามาแจกคนลำบากฟรี และผมเองก็ไม่เล่นการเมือง ผมไม่เคยเปลี่ยนชื่อ และไม่เคยใช้ชื่อ กันต์ธีร์ ศุภมงคลชัย ครับเสียใจจริง ๆ บอกตรง ๆ ครับ”
ขณะที่ทางเพจ CSI LA ตอบกลับว่า “ขอบคุณคุณกันเช่นกันครับ ผมเองก็ชื่นชมในความตั้งใจและความพยายามของคุณในการช่วยเหลือสังคม เพจ CSI LA ทำหน้าที่เพียงรวบรวมข้อเท็จจริงและเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้อธิบายตัวเองอย่างเต็มที่ เราทุกคนต่างมีบทบาทที่แตกต่างกัน แต่เชื่อว่าหากตั้งใจทำดีจริง เวลาและผลงานจะเป็นเครื่องพิสูจน์เสมอครับ”
ทั้งนี้ ท่ามกลางกระแสการจับจ้องของชาวเน็ต กับการเคลื่อนไหวของเพจ ต่อมา
CSI LA ได้โพสต์ข้อความเพิ่มเติม ระบุว่าอยากเชิญ กัน จอมพลัง
มาร่วมกันขับเคลื่อนตรวจสอบหน่วยงานรัฐ เปิดโปงเครือข่ายทุนสีเทา
ต่อสู้กับปัญหายาเสพติด และการพนันที่ทำลายอนาคตเยาวชนไทย
ทางด้านคอมเมนต์จาก กัน จอมพลัง มีดังนี้
“ถ้าเป็นประโยชน์กับชาวบ้านผมยินดีนะครับ เพราะผมก็ทำงานร่วมกับหลาย ๆ
เพจอยู่แล้วครับ
แต่ข้อมูลอาจจะต้องชัดและเรื่องราวต้องไม่เกินตัวของผมครับเพราะบางเรื่องผมถนัดบางเรื่องผมไม่ถนัดครับ
ถ้ามีข้อมูลอะไรให้ช่วยส่งในข้อความได้เลยนะครับ
แต่ก่อนที่จะร่วมงานกันผมขอระบายและบอกพี่ตรง ๆ
จากใจอย่างนึงครับคือเมื่อกี้ผมเห็นบ้านที่เคยอยู่เมื่อ 20
กว่าปีที่แล้วผมน้ำตาไหลไม่หยุดเลยครับ ยืนยันเลยครับไม่อยากเกิดมาจนจริง ๆ
ความรู้สึกตอนนี้มันโคตรเสียใจเลยครับ จากใจครับ”
สิ่งที่เกิดขึ้นนำมาสู้กระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่ใช่น้อย
โดยมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยกับทางเพจที่กล้าขุดเรื่องต่าง ๆ
ขึ้นมาแบบไม่เลือกฝั่ง อยากรู้เบื้องหลังธุรกิจ กัน จอมพลัง
กับฝ่ายที่เห็นต่าง ไม่เข้าใจเจตนาของทางเพจ
นอกจากนี้หลายคนสงสัยถึงจุดประสงค์ของการขุดภาพบ้านเก่าของกันมาเทียบกับชีวิตปัจจุบัน
โดยมองว่าด้วยช่วงเวลาที่ห่างกันขนาดนี้
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากต่างคนต่างแยกย้ายไปทำมาหากิน และผลักดันตัวเองจนมีฐานะ
ซึ่งหลาย ๆ คนก็ทำกันได้
จะดีกว่าไหมหากเล่นในเรื่องของหลักฐานหากมีเรื่องที่มีลับลมคมในจริง ๆ
ทั้งนี้ สุดท้ายเรื่องระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายดูเหมือนจะจบลงด้วยดี เมื่อ CSI
LA ได้โพสต์ทิ้งท้ายว่า “หลังจากได้พูดคุยกับกัน จอมพลัง
ผมสัมผัสได้ถึงความตั้งใจจริง และพลังบวกที่เขามีให้กับสังคม
เขาไม่กร่างเหมือน ‘ทนายตั้ม’ ไม่เพี้ยนเหมือน ‘ตาเหลือก’
ตราบใดที่หัวใจยังยืนข้างประชาชน – เราคือพันธมิตรกันเสมอ”
ภาพจาก CSI LA