คดีเดือด ผู้จัดการอาวุโสระดับผู้บริหารโดนไล่ออก เพราะจูบลูกน้องหญิงในที่ทำงาน ฟ้องกลับบริษัท สุดท้ายกลายเป็นชนะ

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
จุดเริ่มต้น
ชายสกุลหลิน อยู่ในตำแหน่งระดับผู้บริหาร
เป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตที่บริษัทเดินเรือต่างประเทศแห่งหนึ่งในเมืองชิงเต่า
มณฑลซานตง ประเทศจีน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2558 เขาถูกเลิกจ้าง
ด้วยเหตุผลว่าละเมิดนโยบายของบริษัท โดยการล่วงละเมิดทางเพศพนักงานหญิง
และใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางที่ผิดเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
ทางบริษัทพบว่า
หลินมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพนักงานหญิงชื่อสกุลซื่อ
ซึ่งรายงานไม่ได้ระบุแน่ชัดถึงสถานะการสมรสของทั้งสอง
โดยกล้องวงจรในที่ทำงานสามารถบันทึกภาพหลินกอดจูบพนักงานหญิงรายนี้บนบันได
ทางบริษัทจึงกล่าวหาว่า หลินลวนลามลูกน้องหญิง
และยังเสนอเลื่อนตำแหน่งให้กับเธอ
อย่างไรก็ดี หลินปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ และเดินหน้าฟ้องร้องบริษัทต่อศาล เพื่อขอให้คืนสถานะเดิมในบริษัท รวมทั้งเรียกร้องค่าชดเชย
การตัดสินคดี
ศาลชั้นต้นในเมืองชิงเต่าได้พิจาณาว่า
พฤติกรรมของหลินที่มีต่อซื่อไม่เหมาะสม
และละเมิดจรรยาบรรณสำหรับผู้บริหารของบริษัท ดังนั้นศาลจึงมีความเห็นว่า
การเลิกจ้างเขาเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายแล้วสำหรับบริษัท
หลินเดินหน้ายื่นอุทธรณ์ต่อ
จากนั้นศาลอุทธรณ์พบว่า ทางบริษัทไม่มีหลักฐานใด ๆ
ที่แสดงให้เห็นว่าหลินได้รับผลประโยชน์ส่วนตัวจากตำแหน่งของเขา
นอกจากนี้แม้ว่าบริษัทจะระบุว่า “พนักงานควรยึดมั่นในมาตรฐานทางธุรกิจและศีลธรรมระดับสูง” แต่สิ่งนี้เป็นเพียงหลักการที่ทางบริษัทคาดหวัง
ไม่ได้เป็นกฎระเบียบหรือข้อบังคับ
ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินว่า “การกระทำของพนักงานจะสอดคล้องกับมาตรฐานทางศีลธรรมหรือไม่
ไม่ควรนำมาพิจารณาในการเลิกจ้าง” ทั้งนี้ในชั้นศาล
ชื่อยังกล่าวกับผู้พิพากษาว่า เธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลิน และยืนยันว่า
เขาไม่เคยคุกคามทางเพศ หรือข่มขู่เธอเลย
กระทั่งในวันที่ 17
กุมภาพันธ์ 2560 ศาลชั้นสูงได้เผยผลการตัดสินที่สิ้นสุด
โดยพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
พร้อมสั่งให้ทางบริษัทจ้างหลินกลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิม
และจ่ายค่าชดเชยให้เขาตลอดระยะเวลาที่ถูกไล่ออก
โดยพิจารณาจากรายได้ต่อปีของเขาที่ 1.13 ล้านหยวน (ราว 5 ล้านบาท)
ประเด็นร้อนแรง
สหภาพแรงงานเซี่ยงไฮ้เพิ่งจะนำเรื่องราวคดีความนี้มาเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียเมื่อวันที่
22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญการศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน
แต่ไม่ได้เผยถึงสาเหตุที่นำมาเปิดเผยล่าช้า
จากนั้นไม่นานคดีนี้ก็จุดประกายให้เกิดการถกเถียงอย่างดุเดือด
ชาวเน็ตรายหนึ่ง
แสดงความเห็นว่า “คดีนี้สอนให้เรารู้ว่าเราควรเข้าใจกฎหมายมากขึ้น
เพื่อปกป้องสิทธิของเรา” ในขณะที่อีกรายแย้งว่า “เหตุใดผู้พิพากษาจึงไม่พิจารณาว่า
การกระทำของพวกเขาขัดต่อความสงบเรียบร้อยและประเพณีอันดีของสังคม”
ขอบคุณข้อมูลจาก South China Morning Post