หมอเจด เล่าเคส ตังตัง นัฐรุจี ป่วยเป็นสโตรกแม้อายุน้อย ชี้สาเหตุเกิดจากอาการทั่วไป ที่หลายคนมองข้าม ย้ำมีอาการต่อไปนี้ ควรรักษาให้หาย ก่อนสายเกินไป

ภาพจาก เฟซบุ๊ก หมอเจด
จากกรณีช็อก ตังตัง นัฐรุจี นักแสดงสาว ออกมาเล่าประสบการณ์เรื่องที่เธอเป็นสโตรก แม้อายุน้อยเพียง 31 ปี จนพูดไม่ได้ หลังปอดติดเชื้อแบคทีเรีย น้ำท่วมปอด กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แต่โชคดีที่ตอนนี้สามารถกลับมาพูดได้แล้วนั้น
ล่าสุด (19 มิถุนายน 2568) นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา โพสต์ถึงเรื่องดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊ก หมอเจด ระบุว่า ช่วงนี้หลายคนน่าจะเห็นข่าว น้องตังตัง นัฐรุจี ที่อยู่ ๆ ก็เป็นสโตรกตอนอายุแค่ 30 ต้น ๆ ซึ่งฟังดูไม่น่าเชื่อ เพราะเวลาเรานึกถึงสโตรก หรือเส้นเลือดในสมองตีบ ส่วนใหญ่มักนึกถึงคนอายุ 60-70 ปีขึ้นไป
แต่เคสนี้ไม่ใช่ เพราะจุดเริ่มต้นของเธอเป็นแค่อาการ “ไอ เจ็บคอ” แบบที่เราทุกคนเป็นกันประจำ วันนี้ตนเลยอยากชวนค่อย ๆ ไล่เรียงจากปลายทาง ที่ ตังตัง นัฐรุจี พูดไม่ได้ ย้อนกลับไปดูว่า “เกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย” แล้วจะได้เข้าใจว่า เรื่องพวกนี้ใกล้ตัวกว่าที่เราคิดมาก

ภาพจาก Instagram tangtangn_
1. เริ่มจากไอ จบที่สโตรก
จากที่ ตังตัง นัฐรุจี เล่าเอง เธอเริ่มจาก “ไอ เจ็บคอ” แล้วกลายเป็น “ปอดอักเสบ” จากนั้นเชื้ออักเสบก็ลามไปที่ “กล้ามเนื้อหัวใจ” และสุดท้ายวันหนึ่งตื่นมาแล้ว “พูดไม่ได้” ตรวจพบว่า เป็นสโตรก
ฟังดูเร็วมากจริง ๆ และเป็นภาพที่ชัดเจนเลยว่าอาการเล็ก ๆ ถ้าไม่รีบรักษาให้ถูกทาง อาจลุกลามไปเป็นเรื่องใหญ่ได้ในไม่กี่วัน เพราะการติดเชื้อในร่างกาย ถ้ารุนแรงหรือควบคุมไม่ดี มันอาจทำให้ร่างกายสร้าง “ลิ่มเลือด” ซึ่งเจ้าลิ่มเลือดนี้แหละคือ สาเหตุของเรื่องนี้
2. สโตรกวัยรุ่น วัยทำงาน ไม่ใช่เรื่องแปลก
โรคสโตรก (Stroke) จริง ๆ มี 2 แบบใหญ่ ๆ คือ เส้นเลือดตีบ กับ เส้นเลือดแตก
แต่ในคนอายุน้อย มักจะเจอแบบ “ตีบ” มากกว่า
ตีบแบบไหน ? ก็จะมี 2 สาเหตุหลัก ๆ คือ
– Embolic stroke : อยู่ดี ๆ ลิ่มเลือดจากที่อื่นในร่างกาย ล่องลอยมาอุดเส้นเลือดในสมองแบบเฉียบพลัน
– Thrombotic stroke : เส้นเลือดค่อย ๆ ตีบจากพวกไขมันสะสม เช่น คนที่มีเบาหวาน ความดัน ไขมันสูง
ในเคส ตังตัง นัฐรุจี ถ้าดูจากที่ต้องฉีดยาละลายลิ่มเลือด และไม่ได้มีโรคประจำตัวเดิมที่บ่งชี้ว่าเส้นเลือดตีบสะสม น่าจะเป็นแบบ Embolic พูดง่าย ๆ ก็คือ ลิ่มเลือดน่าจะล่องมาจากหัวใจ แล้วไปอุดสมอง
3. หัวใจติดเชื้อ ลิ้นหัวใจอักเสบ = ลิ่มเลือดเกิดง่าย
คราวนี้มาดูว่าทำไมลิ่มเลือดถึงมาจากหัวใจ หนึ่งในสาเหตุที่พบได้คือ การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ เชื้อจากที่อื่นในร่างกาย เช่น ปอด หรือช่องปาก ลามเข้ากระแสเลือด แล้วมาติดอยู่ตรงลิ้นหัวใจทำให้เกิดการอักเสบตรงนั้น และพอหัวใจเต้นแรง ๆ ลิ่มเลือดที่ก่อตัวตรงลิ้นหัวใจก็ถูกปั่นแล้วพุ่งขึ้นไป “อุดเส้นเลือดในสมอง”
นึกภาพง่าย ๆ ว่าหัวใจเราปั๊มเลือดตลอดเวลา แล้วอยู่ดี ๆ มันส่งลิ่มเลือด ขึ้นสมอง แค่นี้เองก็เกิดสโตรกได้แล้ว ซึ่งในเคสนี้อาจเริ่มจากเชื้อในปอด แล้วลามไปที่กล้ามเนื้อหัวใจ หรือถึงลิ้นหัวใจ ซึ่งเป็นจุดที่มีโอกาสสร้างลิ่มเลือดได้ง่ายมาก

ภาพจาก Instagram tangtangn_
สิ่งที่หลายคนไม่เคยคิดเลย คือ “ปัญหาสุขภาพช่องปาก” เช่น ฟันผุ เหงือกอักเสบ เป็นแผลในปาก ปัญหาเหล่านี้ทำให้แบคทีเรียหลุดเข้ากระแสเลือดได้ง่าย โดยเฉพาะแบคทีเรียกลุ่ม Streptococcus ซึ่งถ้าเข้าไปถึงหัวใจ ก็จะไปอักเสบที่ “ลิ้นหัวใจ” ได้
หลายคนคิดว่า “เหงือกบวม ฟันผุ มันไม่เกี่ยวกับหัวใจหรอก” แต่จริง
ๆ แล้ว มันเกี่ยวกันแบบตรง ๆ เลย เพราะฉะนั้นจึงควรดูแลช่องปากให้ดี
แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน หมั่นตรวจสุขภาพฟันทุก 6 เดือน
ถ้ามีเหงือกอักเสบหรือฟันผุเรื้อรัง รีบรักษาให้จบ
รวมถึง ถ้ามีแผลตามตัว หรือ “เจ็บคอ” แบบมีไข้ ไอมาก เสียงเปลี่ยน แล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2–3 วัน
อย่าซื้อยากินเองอย่างเดียวครับ ไปหาหมอ ตรวจให้ชัด
ว่าใช่เชื้อรุนแรงหรือไม่
5. สโตรกป้องกันได้ ถ้าเข้าใจต้นทาง
ฟังดูน่ากลัว แต่จริง ๆ คือ “มันป้องกันได้ครับ” หลายเคสของสโตรกในคนอายุน้อย มาจากเหตุที่เราคาดไม่ถึง เช่น
– การติดเชื้อรุนแรงที่ปล่อยไว้
– หัวใจเต้นผิดจังหวะ
– ปัญหาในช่องปาก
– หรือแม้แต่การใช้ยาบางชนิดโดยไม่รู้ความเสี่ยง เช่น ยาคุมบางชนิดในผู้หญิง
สิ่งที่เราทำได้คือ
– ใส่ใจสุขภาพพื้นฐาน
– ไม่ปล่อยให้การติดเชื้อเรื้อรัง
– หมั่นตรวจฟัน ตรวจร่างกายประจำปี
– ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น เป็นภูมิแพ้ตัวเอง, เคยหัวใจเต้นผิดจังหวะ ควรแจ้งหมอทุกครั้งที่ตรวจ
สรุปสุดท้าย
เรื่องของน้องตังตังเป็นอุทาหรณ์ที่ดีมาก เพราะมันคือเรื่องธรรมดา
ที่หลายคนมองข้าม ตนเชื่อว่าเธอโชคดีมากที่ได้รับการรักษาไว และค่อย ๆ
ฟื้นตัว และหวังว่าทุกคนที่ได้อ่านจะรู้ว่า สโตรกไม่ใช่แค่โรคของผู้สูงอายุ
และมันไม่ได้มาแบบให้เวลารู้ตัวนานเสมอไป
สิ่งที่อยากฝากไว้
– ถ้าไม่สบาย แล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2–3 วัน ไปหาหมอ
– ใครที่มีเรื่องอ้วน หรือมีโรคประจำตัว อันนี้ต้องรีบดูแลตัวเอง ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย ปรับการกิน
– รักษาความสะอาดในช่องปากเสมอ

ภาพจาก Instagram tangtangn_
ภาพจาก Instagram tangtangn_
ภาพจาก Instagram tangtangn_