KUBET – เช็กเลย 5 ผักระวังเบาหวาน กินแล้วค่าน้ำตาลพุ่งสูง พร้อมวิธีกินให้ปลอดภัย

          หมอเจดเผย 5 ผัก กินแล้วเสี่ยงน้ำตาลพุ่ง คนเป็นเบาหวานต้องระวัง พร้อมแนะวิธีกินอย่างไรให้ปลอดภัย



เช็กเลย ส่องผัก 5 ชนิด ระวังเบาหวาน
ภาพจาก Framarzo / Shutterstock.com


          วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โพสต์ให้ความรู้ผ่านเพจเฟซบุ๊ก หมอเจด เตือน ระวังเบาหวาน 5 ผักที่กินแล้วเสี่ยงน้ำตาลพุ่ง  โดยระบุว่า

          หลายคนอาจคิดว่าผักกินเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องสุขภาพ แต่จริง ๆ แล้ว มีผักบางชนิดที่ค่าดัชนีน้ำตาล (GI) สูง หมายความว่า ร่างกายดูดซึมน้ำตาลจากผักพวกนี้เร็ว ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งไว โดยเฉพาะคนที่เป็นเบาหวาน หรือคนที่อยากคุมน้ำตาล ควรเลือกกินให้เหมาะ

เช็กเลย ส่องผัก 5 ชนิด ระวังเบาหวาน
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า GI คือ ดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index –
GI) เป็นค่าที่บอกว่า อาหารชนิดนั้นทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นเร็วแค่ไหน
โดยเทียบกับกลูโคส (GI = 100)

          GI ต่ำ (<55)น้ำตาลขึ้นช้า ค่อยๆ ดูดซึม

          GI ปานกลาง (56-69) น้ำตาลขึ้นปานกลาง

          GI สูง (>70) น้ำตาลพุ่งเร็ว

          
ผักส่วนใหญ่ค่า GI ไม่สูง แต่ก็มี บางชนิดที่ GI สูงกว่าที่คิด
ก็ไม่ใช่ว่าห้ามกินเลย มาดูกันว่า 5 ผักที่กินแล้วเสี่ยงน้ำตาลพุ่ง
มีอะไรบ้าง พร้อมทริกกินให้ปลอดภัย

1. มันฝรั่ง (GI = 80-90)

         
มันฝรั่งอร่อย และเอาไปทำได้หลายเมนู แต่ถ้ากินไม่ระวัง น้ำตาลขึ้นเร็วมาก
โดยเฉพาะ มันฝรั่งบด (GI ~90) และมันฝรั่งทอด (GI ~75-85)
เพราะว่าแป้งในมันฝรั่งถูกย่อยง่าย ดูดซึมไว ทำให้น้ำตาลขึ้นเร็ว
ยิ่งบดหรือทอด โครงสร้างแป้งเปลี่ยน ดูดซึมเร็วกว่าเดิม

กินยังไงให้ปลอดภัย ?

          – ปริมาณที่เหมาะสม: ½ ลูกกลาง (~75 กรัม) ต่อมื้อ

          – เลือกมันฝรั่งต้มทั้งเปลือก (GI ~50-60) ดีกว่าทอดหรือบด

2. ฟักทอง (GI = 75)

          ฟักทองเป็นผักที่มีสารอาหารดี  ๆ เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ และไฟเบอร์ แต่ก็คาร์โบไฮเดรตสูง และน้ำตาลดูดซึมได้เร็ว

 กินยังไงให้ปลอดภัย?

          – กินในปริมาณพอเหมาะ ไม่เกิน ½ ถ้วยตวงต่อมื้อ

          – เลี่ยง ฟักทองเชื่อมหรือน้ำฟักทองที่เติมน้ำตาล

3. แครอทสุก (GI = 70-80)

         
แครอทดิบ GI ต่ำ (~16) แต่พอเอาไปปรุงสุก GI จะสูงขึ้น ไม่ว่าจะต้ม จะนึ่ง
จะตุ๋น ทำให้น้ำตาลพุ่งไว ที่เป็นแบบนี้เพราะว่า
ความร้อนเปลี่ยนโครงสร้างแป้ง ทำให้ร่างกายย่อยง่ายขึ้น
และน้ำในแครอทระเหยออกไป ทำให้คาร์โบไฮเดรตเข้มข้นขึ้น

กินยังไงให้ปลอดภัย ?

          – ปริมาณที่เหมาะสม: ½ ถ้วยตวง (~75 กรัม) ต่อมื้อ

          – ถ้าต้องการคุมน้ำตาล เลือกกินแครอทดิบ ดีกว่า

         
– ถ้าจะกินแครอทสุก ควรกิน ในปริมาณพอเหมาะ และ
กินคู่กับไขมันดีหรือโปรตีน เช่น สลัดแครอทใส่อะโวคาโด
หรือแครอทผัดน้ำมันมะกอก

4. ข้าวโพดหวาน (GI = 70-75)

         
ข้าวโพดเป็นผักที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นอาหารสุขภาพ
เพราะมีไฟเบอร์และวิตามินสูง แต่ ข้าวโพดหวานมีปริมาณน้ำตาลธรรมชาติสูง
และทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งเร็ว เพราะมีน้ำตาลซูโครสและกลูโคสสูง
แป้งในข้าวโพด ย่อยง่าย ดูดซึมเร็ว

กินยังไงให้ปลอดภัย?

          – ปริมาณที่เหมาะสม: ½ ฝักเล็ก (~75 กรัม) ต่อมื้อ

          – เลี่ยงข้าวโพดกระป๋องหรือน้ำข้าวโพด ที่มักเติมน้ำตาล

          – กินข้าวโพดหวาน เป็นฝักแทนข้าวโพดแปรรูป

5. เผือก (GI = 65-70)

         
เผือก เป็นพืชหัวที่หากินง่ายในไทย กินได้ทั้งแบบ ต้ม อบ
หรือเป็นส่วนประกอบในขนมหวาน เช่น บัวลอยเผือก เผือกเชื่อม
หรือไอศกรีมเผือก แต่เผือกเองก็มีคาร์โบไฮเดรตสูง และ GI ค่อนข้างสูง
เพราะเผือกมี แป้งเป็นองค์ประกอบหลัก และเมื่อผ่านความร้อน
ร่างกายจะย่อยง่ายขึ้น แม้เผือกจะมี ไฟเบอร์และวิตามิน B6 สูง
แต่ก็มีคาร์โบไฮเดรตที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ง่าย

แนะนำว่า

          – ปริมาณที่เหมาะสม: ½ ถ้วยตวง (~75 กรัม) ต่อมื้อ

          – กินในปริมาณพอเหมาะ ไม่ควรกินเผือกมากเกินไปในมื้อเดียว

          – เลี่ยงเผือกในรูปแบบขนมหวาน เช่น เผือกเชื่อม บัวลอยเผือก หรือไอศกรีมเผือก

          – กินเผือกคู่กับโปรตีนและไขมันดี เช่น ไก่ อะโวคาโด หรือถั่ว เพื่อช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล

ข้อแนะนำในการกินผัก  GI สูง ให้น้ำตาลไม่พุ่ง

          – กินในปริมาณพอเหมาะ ไม่กินเยอะเกินไป

          – เลือกวิธีปรุงที่ไม่เพิ่มน้ำตาล เช่น ต้ม อบ หรือกินดิบ

          – กินคู่กับโปรตีน ไขมันดี หรือไฟเบอร์ เช่น ถั่ว ไข่ อะโวคาโด หรือเนื้อสัตว์ เพื่อชะลอการดูดซึมน้ำตาล

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *