
วันที่ 17 มีนาคม 2568 เว็บไซต์ Sin Chew เผยเรื่องราวสุดสะเทือนใจ กรณีเด็กหญิงวัย 6 ขวบในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีภาวะทุพพลภาพจากโรคหายาก ถูกสายรัดนิรภัยของรถเข็นรัดคอจนถึงแก่ชีวิต ในขณะที่อยู่บนรถบัสโรงเรียน ส่วนผู้ช่วยประจำรถเอาแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่ที่เบาะด้านหน้า เป็นเหตุให้ไม่เห็นสัญญาณผิดปกติ ทั้งที่เด็กหญิงพยายามเตะหน้าต่างเพื่อขอให้ช่วย จนถึงนาทีสุดท้ายก่อนหมดลมหายใจ
เด็กหญิงพยายามอย่างสุดความสามารถ ใช้ขาเตะกระจกเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ทางผู้ช่วยที่อยู่เบาะหน้ากลับไม่รู้เรื่องว่ามีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น และไม่ได้สนใจที่จะเดินไปดู จนเมื่อรถจอดถึงที่หมายปลายทาง ผู้ช่วยถึงเพิ่งจะลุกไปและพบว่าเด็กหญิงหมดสติไปแล้ว แม้จะถูกพาตัวส่งโรงพยาบาล แต่แพทย์ก็ไม่สามารถช่วยยื้อชีวิตเอาไว้ได้ เนื่องจากสมองของเธอขาดออกซิเจนไปเป็นเวลานานถึง 40 นาที

อัยการเขตซัมเมอร์เซ็ตได้ดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยชี้ให้เห็นว่า อแมนดาเป็นผู้ดูแลประจำรถบัสโรงเรียน แต่กลับเพิกเฉยละเลยในการทำหน้าที่ เด็กหญิงเคราะห์ร้ายไม่ได้รับความใส่ใจ ทั้งที่ควรจะได้รับการดูแลเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากภาวะความผิดปกติ โดยผลการตรวจสอบพบว่า เด็กหญิงต้องทนเจ็บปวดทรมานจากการหายใจไม่ออกมานานกว่า 10 นาที กระทั่งหมดลมหายใจจากไปในที่สุด
อัยการเน้นย้ำว่า “ความประมาทของเธอส่งผลให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิต และเธอต้องรับผิดทางกฎหมาย”
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการพิจารณาคดี ทนายของอแมนดาได้พยายามแก้ต่างว่า จำเลยไม่มีประวัติอาชญากรรม อีกทั้งยังมีลูกวัย 4 ขวบ ซึ่งเป็นโรคออทิสติกที่ต้องได้รับการดูแล โดยอแมนดาได้ยืนขึ้นกล่าวขอโทษต่อศาลด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ฉันขอโทษ ฉันขอแสดงความเสียใจกับแม่และครอบครัว”
แต่ในที่สุด เมื่อไม่นานมานี้ ศาลได้มีคำตัดสินให้อแมนดามีความผิด ต้องรับโทษจำคุก 3 ปี และจ่ายค่าชดเชย 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 674,000 บาท) ส่วนบริษัทรถบัสรับ-ส่งนักเรียนได้ทำข้อตกลงกับทางครอบครัวของเด็กหญิงผู้เสียชีวิต โดยรับผิดชอบจ่ายเงินให้ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 168 ล้านบาท)

ขอบคุณข้อมูลจาก Sin Chew, New York Post